วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เรียนต่ออมเริกา สอบตรงเข้ามหาวิทยาลัย


             ในปัจจุบันการศึกษาหรือไปเรียนต่อที่อเมริกานั้นยากพอสมควรมหาวิทยาลัยรัฐบาลส่วนมากนิยมรับเด็กจากการสอบตรง คือเปิดทำการสอบก่อนล่วงหน้าที่จะมีการสอบเอ็นทรานซ์ ซึ่งส่วนมากแต่ละมหาวิทยาลัยจะเปิดไม่กี่คณะที่เปิดรับตรง ส่วนคณะที่เหลือก็จะเป็นรอบเอ็นทรานซ์ เพราะแต่ละคณะอยากได้นักเรียน เรียนดีเข้ามาเพื่อที่อาจารย์จะได้สอนง่าย เด็กรับรู้เนื้อหาทางวิชาการได้เร็ว เพราะการเอ็นทรานซ์บางครั้งอาจจะได้ทั้งเด็กเก่งและไม่เก่งเข้ามาเรียนในคณะ บางครั้งทำให้มีเด็กบางคนไม่สามารถเรียนจบในคณะที่ตัวเองอยากเรียนได้และบาง ครั้งตัวเด็กที่เอ็นทรานซ์ติดไม่ได้ติดคณะที่ตัวเองต้องการจะเรียน อาจจะไปติดอันดับสองอันดับสาม หรือแม้กระทั่งพอเข้าไปเรียนในคณะที่สอบติดจริงๆ ก็พบว่าตัวเองไม่ได้ถนัดที่จะเรียน ทำให้หลายต่อหลายคนต้องออกไปกลางคัน หรือบางคนที่พยายามทนเรียนมาหลายปีแต่ก็ไม่สามารถเรียนจบได้ตามที่อยากเรียน เพราะฉะนั้นการรับเด็กสอบตรงก็เป็นส่วนหนึ่งคัดเด็กที่ต้องการจะเรียนจริงๆ ในคณะนี้เข้ามาสอบเพื่อเรียนต่อ ดังนั้น เราจึงได้จัดทำโครงการเรียนต่ออเมริกาขึ้นมาเพื่อให้น้องๆ ได้สมหวัง

วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

รับซื้อรถยนต์ไม่ผ่านนายหน้ามาเสนอข้อมูล 12 วิธีการดูแลรถ


          ถ้าคุณใช้รถยนต์ทุกวัน คุณต้องแน่ใจว่าคุณเอาใจใส่ดูแลทุกเรื่องเพื่อให้รถยนต์ของคุณพร้อมใช้งานเสมอ และไม่ต้องเสียให้ซ่อมบ่อย ๆ อีกต่อไป วันนี้เราก็มี 12 วิธีดีๆ สำหรับการดูแลรถของคุณให้อยู่ได้นานกว่าเดิมโดยไม่ร้องหาอู่อีกเลย

          1. เปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก ๆ 5,000 กิโลเมตร ถึงแม้ในคู่มือจะระบุไว้มากกว่านี้ ส่วนไส้กรองน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร

          2. ตรวจดูระดับน้ำในหม้อน้ำบ่อย ๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

          3. ตรวจดูลมยางให้ได้ความดันตามที่กำหนดในคู่มือ ตรวจดูบ่อยตามความจำเป็นในการเดินทางไกลหรือการบรรทุกน้ำหนัก ซึ่งจะกำหนดว่าน้ำหนักเท่าไรควรเติมความดันเท่าไร

          4. เปลี่ยนหัวเทียนทุก ๆ 15,000-20,000 กิโลเมตร

          5. ตรวจดูไส้กรองอากาศว่าสะอาดดีหรือเปล่า มีรูหรือไม่ เพราะถ้ามีรู แม้เท่าปลายดินสอ แล้วขับรถยนต์ไปในที่ที่มีฝุ่นมาก ๆ ฝุ่นจะเข้าไปทำให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วกว่ากำหนด

          6. ตรวจดูมาตรวัดต่าง ๆ ที่จำเป็น ว่ายังใช้งานได้ดีหรือไม่ เพราะสามารถบอกความผิดปกติของรถยนต์ได้เป็นอย่างดี

          7. ตรวจดูน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ได้จากด้านข้างของหม้อแบตเตอรี่ โดยจะมีขีดกำหนดอยู่ 2 ขีดคือ ขีดบนและขีดล่าง อย่าให้ระดับน้ำกลั่นต่ำกว่าขีดล่าง เพราะจะทำให้แบตเตอรี่เสียได้ และอย่าเติมเกินกว่าขีดบน

          8. สังเกตเสียงที่เกิดขึ้นขณะใช้งาน เพราะจะเป็นตัวบอกเหตุให้เราได้รู้ว่ามีสิ่งใดในรถยนต์ของเราเกิดความเสียหาย ก่อนที่จะเสียมากขึ้น

          9. สังเกตพื้นที่จอดรถยนต์ว่ามีน้ำหรือน้ำมันเครื่องหยดลงมาเลอะพื้นหรือไม่ ดูด้วยว่าหยดลงในตำแหน่งใด เพราะจะบอกเราได้ว่าส่วนใดของรถที่เกิดการสึกหรอแล้วรั่วซึม

          10. เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์และน้ำมันเฟืองท้ายตามที่คู่มือกำหนดไว้

          11. ตรวจดูน้ำมันเบรกที่อยู่ในกระป๋องว่ายุบเร็วกว่าปกติหรือไม่ หากยุบเร็ว อาจเกิดการรั่วซึมที่ใดก็ได้

          12. ตรวจดูระบบไฟในรถยนต์ว่ายังใช้การได้ดีอยู่หรือไม่


          เพียงเท่านี้รถยนต์ที่คุณรักก็จะอยู่กับคุณไปอีกนาน และเมื่อไหร่ที่คุณคิดจะขายมัน โปรดอย่าลืมเราเว็บไซต์ของเราทำธุรกิจ รับซื้อรถยนต์ไม่ผ่านนายหน้า หากคุณอยากจะขายรถของคุณสามารถติดต่อเราได้ทันที

วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดูแลรถมือสองราคาถูกที่ต้องลุยน้ำ หรือว่า รถจมน้ำ


สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการทำความเข้าใจว่า การซ่อมแซมให้กลับมาสภาพเดิม 100% นั้นไม่สามารถทำได้ อย่างดีที่สุดก็จะได้แค่ 90% โดยมีขั้นตอนและรายละเอียดการซ่อมดังนี้
กรณีรถจมน้ำ

    ห้ามสตาร์ทเครื่องยนต์ (เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟฟ้าเข้าระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆของรถ จนเกิดลัดวงจรเสียหายได้)-ถอดแบตเตอรี่ออก (ถอดขั้วลบ)
    ตรวจเช็คระบบไฟฟ้าและกล่องสมองกล (แผงฟิวส์, กล่องรีเลย์, ECU)-ถอดออกมาไล่น้ำเป่าลม ฉีดสเปร์ยไล่ความชื้น ตากแดด
    ตรวจเช็คแบตเตอรี่-เช็คแรงดันไฟและระดับน้ำกลั่น (หากพบว่ามีน้ำปนและแรงดันไฟต่ำกว่ามาตรฐาน แนะนำให้เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่)
    ตรวจเช็คระบบเครื่องยนต์ และทดสอบสตาร์ท ดังนี้

* หม้อกรอง-เป่าน้ำและโคลนออก, เช็คเซ็นเซอร์, ล้างลิ้นปีกผีเสื้อ, ไล่ความชื้นในเครื่องยนต์, ไล่ความชื้นกระบอกสูบ
* ไล่ความชื้นระบบจุดระเบิด
* เครื่องดีเซล-ถอดหัวฉีดออก-ไล่ความชื้นและทำความสะอาด
* เครื่องเบนซิน-ถอดหัวเทียนออก-ไล่ความชื้นและทำความสะอาด (คอยล์-จานจ่าย-สายหัวเทียน-ปลั๊กหัวเทียน)
* ทดสอบสตาร์ท โดยบิดกุญแจสตาร์ทไปจังหวะแรกค้างไว้ก่อน (เพื่อตรวจมาตรวัดต่างๆ, หากไฟแสดงระบบใดไม่ทำงานให้ตรวจสอบที่ห้องเครื่องว่ามีความร้อนหรือควันเกิดขึ้นหรือไม่) หลังจากนั้น ลองสตาร์ทเครื่อง (โดยยังไม่ใส่หัวเทียนแล้วดูว่ามีน้ำพ่นออกจากรูหัวเทียนเมื่อเครื่องหมุนหรือไม่ หากมีทำการสตาร์ทต่อไปจนน้ำถูกพ่นออกมาหมด แล้วใส่หัวเทียนใหม่กลับเข้าที่)

หากไม่สามารถสตาร์ทได้ต้องส่งเข้าอู่ซ่อมเครื่องยนต์ เพื่อตรวจสอบโดยละเอียดที่ (เครื่องยนต์, ปั๊มหัวฉีด, กล่องECU)
หากสตาร์ทเครื่องยนต์ได้แล้ว  ทำการตรวจเช็คต่อเสมือนกรณีรถลุยน้ำมา


กรณีรถลุยน้ำ
    เปลี่ยนถ่ายของเหลว และไส้กรองต่างๆ (ควรเปลี่ยนทันที)

* น้ำมันเครื่องและกรองน้ำมันเครื่อง ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกดู ถ้าระดับน้ำมันเครื่องสูงกว่าปกติแสดงว่ามีน้ำปนเข้าไป (สีของน้ำมันจะเปลี่ยน)
* น้ำมันเกียร์, เฟืองท้าย, น้ำมันเบรก, น้ำมันพาวเวอร์, น้ำยาหม้อน้ำ (ทำความสะอาดรังผึ้ง เอาโคลนและสิ่งสกปรกออก) สำหรับน้ำมันเกียร์ออโต้ให้ปล่อยก้นแท็งค์เอาน้ำออกก่อนแล้วใช้ระบบล้างเกียร์เพื่อให้น้ำมันเก่าออกหมด
* กรองดักน้ำ, กรองเชื้อเพลิง (กรองเบนซิน,กรองโซล่า), กรองอากาศ และกรองแอร์
* น้ำมันเชื้อเพลิง (คลายน็อตหลวมๆดูว่ามีน้ำไหลออกมาไหม น้ำจะอยู่ด้านล่างของถัง แล้วจะไหลออกมาก่อน)
2. เช็คระบบเกียร์-คลัตช์ (ทดสอบรถ)
* หากเข้าเกียร์ยาก (เกียร์ธรรมดา) แสดงว่ามีน้ำในระบบคลัตช์ หรือมีสนิมจับในระบบ
3. เช็คระบบเบรก (ถอดเช็ค)
* เบรกลื่น, เนื้อเบรกแยกชิ้น, เบรกติด (ให้เช็คสนิมในระบบเบรก, ลูกยางต่างๆ, การเคลื่อนตัวของลูกสูบ)
4. หล่อลื่น, เปลี่ยนจารบี-ลูกปืนล้อ-หัวเพลาขับ-เพลากลาง-ลูกปืนกากบาท-ลูกหมาก
5. ตรวจเช็คสายพาน
6. ตรวจน้ำที่เหลือในห้องโดยสาร และระบบส่องสว่าง
* ที่เขี่ยบุหรี่, ที่ใส่เศษสตางค์, หน้าปัด, มาตรวัดต่างๆ, แผงวงจรต่างๆ, ถอดซักเบาะ พรม (จอดตากแดดจัดๆ), น้ำขังตามโคมไฟ
7. ตรวจระบบแอร์
* แอร์มีกลิ่นอับหรือไม่
* เช็คคลัตช์คอมแอร์



หมายเหตุ การตรวจเช็คหรือซ่อมแซมบางระบบนั้น จำเป็นต้องซ่อมกับอู่ซ่อมเฉพาะทางสำหรับระบบนั้นๆ

เรียบเรียงข้อมูลโดย
http://www.srshowroom.com/
http://www.fast2car.com/